การเมืองข่าวเรียนรู้กฎหมาย

“เชาว์” อดีตรองโฆษก. ปชป. ดัดหลังคณะก้าวหน้า เตรียมส่งรายงาน คอป.-คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ชี้ชัดชุมนุมปี 53 ขัดรธน.มีกองกำลังติดอาวุธ เตือนเลิกบิดเบือนข้อมูลก่อนจบแบบเดิมพา”พรรคก้าวไกล”ซวยไปด้วย

“เชาว์” ดัดหลังคณะก้าวหน้า เตรียมส่งรายงาน คอป.-คำพิพากษาศาลฎีกา ชี้ ชุมนุมปี 53 ขัดรธน.มีกองกำลังติดอาวุธ ขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ใช้อำนาจตามกฎหมาย พ้นข้อหาฆ่า ปชช. ให้ ธนาธร-ปิยบุตร หวัง พ้นการเป็นกบในกะลา เทียบ 3 ความแตกต่างพฤษภาทมิฬ 35 รัฐก่ออาชญากรรม ส่วนปี 53 ชุมนุมผิดกฎหมายรัฐบาลคืนความสงบให้บ้านเมือง ย้อนเกล็ดให้ตามหาความจริง ใครบงการกองกำลังติดอาวุธ เตือน เลิกบิดเบือนข้อมูลเพื่อประโยชน์การเมือง ก่อนหนังม้วนเดิม จบแบบเดิม พาพรรคก้าวไกล ซวยไปด้วย

นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ Facebook Chao Meekhuad เรื่อง “คณะก้าวหน้า จะก้าวไปไหน ระวังพาพรรคก้าวไกลซวย จะจบไม่สวยแบบเดิมๆ”มีเนื้อหาว่า ผมรู้สึกไม่สบายใจต่อการเคลื่อนไหวของคณะก้าวหน้าที่ใช้โอกาสเดือนพฤษภาคม นำเหตุการณ์พฤษภาทมิฬมาเชื่อมโยงกับความสูญเสียระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดงในปี 2553 และกล่าวหาอดีตนายกอภิสิทธิ์ อย่างไม่เป็นธรรม ทั้ง ๆ ที่สองเหตุการณ์นี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มีข้อเท็จจริงที่จะกล่าว ดังนี้

1. เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เกิดจากนายทหารกลุ่มหนึ่งที่ยึดอำนาจแล้วมีการสืบทอดอำนาจ จนประชาชนลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน และจบลงที่การปราบปรามประชาชน แต่เหตุการณ์ปี 53 ต่อเนื่องจากปี 52 มีกลุ่มการเมืองที่เสียอำนาจได้ปลุกระดมประชาชนให้ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรีที่มาจากการโหวตของสภา นำไปสู่การล้มประชุมอาเซียน ปี 52 และการใช้กองกำลังติดอาวุธปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมปี 53 จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่นำมาซึ่งความสูญเสียทั้งพลเรือนและตำรวจ ทหาร ลามไปสู่การเผาบ้านเผาเมือง

2. รัฐบาลพล.อ.สุจินดา ออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเองจากการใช้อำนาจในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ แต่รัฐบาลอดีตนายกอภิสิทธิ์ ตั้งกรรมการอิสระค้นหาความจริง ซึ่งปฏิบัติหน้าที่คาบเกี่ยวมาจนถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีผลสรุปออกมาชัดเจนว่าการชุมนุมในปี 53 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มีการใช้อาวุธสงคราม ที่สำคัญคืออดีตนายกอภิสิทธิ์ ไม่เคยคิดนิรโทษกรรมใด ๆ แต่ยึดหลักให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้า พร้อมเข้าสู่กลไกตรวจสอบทุกรูปแบบ ในขณะที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย พ่วงคดีทุจริตของนายทักษิณ จนนำไปสู่ทางตันทางการเมืองและเกิดการรัฐประหารตามมาในปี 57

3. เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ไม่สามารถเอาผิดใครได้เพราะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม แต่เหตุการณ์ในปี 53 มีคำตัดสินของศาลหลายคดีที่ชี้ชัดถึงการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย ลงโทษผู้ชุมนุมที่กระทำผิดจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีคำพิพากษาให้เยียวยาผู้ชุมนุมในกรณีที่พบการกระทำเกินกว่าเหตุ ที่สำคัญคือข้อกล่าวหาที่มีต่ออดีตนายกอภิสิทธิ์ว่าเจตนาฆ่าประชาชนนั้น ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องตามศาลชั้นต้นเพราะฟ้องผิดศาลต่อมา ปปช.ก็มีคำวินิจฉัยว่าไม่มีความผิด และกำลังมีการไล่เช็คบิลนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอกับพวก ฐานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบเป็นเครื่องมือรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกลั่นแกล้งอดีตนายกอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2563 ให้จำคุก 2 ปี คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา นอกจากนี้ยังมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699/2560 ในคดีที่อดีตนายกอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ฟ้องนายธาริต ในความผิดตามมาตรา 157 และมาตรา 200 มีเนื้อหาบางตอนระบุว่า มีกองกำลังติดอาวุธปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมปะทะกับเจ้าหน้าที่จนนำไปสู่ความสูญเสียทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม ขณะที่การควบคุมสถานการณ์ของอดีตนายกอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6646-6674/2561 กรณีกลุ่มผู้ชุมนุมเผาอาคารพาณิชย์ของประชาชน ก็ระบุเหตุผลไว้แจ้งชัดว่า ผลแห่งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่อาคารและทรัพย์สิน ที่ถูกผู้ชุมนุมในกลุ่ม นปช. วางเพลิงเผาทำลายนั้น เป็นผลที่เกิดจากคำปราศรัยของจำเลยที่ 6 ถึง ที่ 8 โดยเข้าลักษณะเป็นผู้ยุยงส่งเสริมในการละเมิดของบุคคลผู้ชุมนุมในกลุ่ม นปช. ที่ร่วมกันเผาอาคาร

อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า จึงเห็นได้ว่าประเด็นที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อคืนความเป็นปกติสุขให้กับประเทศชาติและประชาชนของอดีตนายกอภิสิทธิ์ เป็นที่แจ้งชัดว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเพื่อความสงบของบ้านเมือง จึงแตกต่างกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่มีการก่ออาชญากรรมโดยรัฐ เอาผิดไม่ได้เพราะมีนิรโทษกรรม แต่เหตุการณ์ปี 53 รัฐบาลอภิสิทธิ์ คืนความสงบให้บ้านเมือง และไม่เคยคิดนิรโทษกรรมให้ตัวเอง ซึ่งความจริงวิญญูชนทั่วไปย่อมเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ถึงความแตกต่างของสองเหตุการณ์นี้ แต่น่าเสียดายที่หาสำนึกบริสุทธิ์ไม่ได้จากกลุ่มคนในคณะก้าวหน้า

“เมื่อคณะก้าวหน้ายังทำตัวเป็นกบในกะลา ต้องการยัดเยียดชุดความคิด บิดเบือนความจริง สร้างความแตกแยกแบบไม่รู้จบ ผมก็จะให้ความรู้เป็นทานด้วยการจัดส่งรายงาน คอป.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699/2560 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6646-6674/2561 ไปให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และถ้าท่านอยากตามหาความจริง ผมแนะนำให้ท่านหาความจริงหน่อยว่า ใครอยู่เบื้องหลังกองกำลังติดอาวุธ ที่นำไปสู่โศกนาฏกรรมของบ้านเมือง และที่สำคัญอยากเตือนว่า ขอให้ใช้ความรู้ ความสามารถที่มีไปในทางที่สร้างสรรค์ อย่าเดินย่ำรอยเดิม จนกลายเป็นคณะก้าวหน้า ที่ก้าวไปไม่ถึงไหน สุดท้ายกลายเป็นหนังม้วนเดิมที่จบแบบเดิม พาให้พรรคก้าวไกลซวยไปด้วย แล้วพวกท่านจะโทษใครไม่ได้เลย เพราะทำตัวเองทั้งสิ้น”นายเชาว์ระบุทิ้งท้าย

Comment here